แถลงการณ์ พ.ณ.นอเศเรดดีน ฮัยแดรี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย ณ.มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับสงครามระหว่าง อ
.
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮผ์ ู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณาเสมอ
ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอขอบคุณส าหรับโอกาสที่ได้รับในการแสดงจุดยืนของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรุกรานซ ้าแล้วซ ้าเล่าของระบอบไซออนิสต์ต่อแผ่นดินสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา เพื่อเปิดโปงอาชญากรรมของระบอบไซออนิสต์ต่อประชาชาติอิสลามของอิหร่าน
ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดเหล่านี้ เราได้เห็นการรุกรานและอาชญากรรมอันโหดร้ายของระบอบไซออนิสต์ที่มีต่อประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ของอิหร่าน ระบอบยึดครองไซออนิสต์ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขจากอ านาจจักรวรรดินิยมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ก่ออาชญากรรมขึ้นอีกครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาการโจมตีอย่างไร้เป้าหมาย ไร้มนุษยธรรม และขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นต่อแผ่นดินของสาธารณรฐั อิสลามแห่งอิหรา่ น มิใช่เพียงแต่ทาใหพ้ ลเรือนผบู้ รสิ ทุ ธิห์ ลายรายตอ้ งสละชีวิตอย่างน่าเวทนา หากแต่ยังคร่าชีวิตบรรดาผู้น า ทหารผู้กล้าหาญและนักวิทยาศาสตร์ชั้นน าของประเทศเราไปด้วยในเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นการโจมตีอันป่ าเถื่อนของระบอบไซออนิสต์ต่อพื้นที่ที่พักอาศัยของพลเรือน มีพลเรือนเสียชีวิตถึง 60 ราย โดยในจ านวนนี้เป็นสตรีและเด็กถึง 35 ราย การกระท าดังกล่าวขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงข้อตกลงและอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน
ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ พลเรือน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารและทหารประจ าการ จะถือเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมในสงครามได้ก็ต่อเมื่อมีส่วนร่วมโดยตรงในความขัดแย้งทางอาวุธเท่านั้น ผู้ที่อยู่นอกสนามรบยังคงถือเป็นพลเรือน การโจมตีบุคคลเหล่านี้จึงถือเป็นอาชญากรรมสงคราม ไม่สามารถอ้างว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลระดับสูงทางทหารเป็นเป้าหมายทางทหารได้ ค าว่า "การลอบสังหารแบบเจาะจงเป้าหมาย" (TargetedAssassination) เป็นวาทกรรมที่สร้างขึ้นโดยระบอบไซออนิสต์ซึ่งเป็นฆาตกรเด็ก และการส่งเสริมพฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อประชาคมโลกและความมั่นคงของทุกประเทศ
ข้ออ้างหลักที่ใช้ในการก่อเหตุโจมตีเหล่านี้ คือโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งข้อเท็จจริงคือโครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวดขององค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) โดยเป็นระบบตรวจสอบที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์ และการด าเนินงานของสถานที่เหล่านี้เป็นไปในทางสันติภาพอย่างเคร่งครัดภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ การโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ที่อยู่ภายใต้ระบบพิทักษ์ของ IAEA ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและขัดต่อมติขององค์กรดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง การโจมตีโดยเจตนาต่อสถานที่เหล่านี้จึงถือเป็นการรุกรานและการละเมิดสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์และผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการก่อการร้ายโดยรัฐที่กระท าโดยระบอบไซออนิสต์ นักวิทยาศาสตร์และผู้บัญชาการเหล่านี้ เป็นบุคคลที่ได้อุทิศตนทั้งในด้านความคิดและการกระท า เพื่อยกระดับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การป้องกันประเทศ และเสริมสร้างเอกราชของชาติ แต่กลับตกเป็นเป้าหมายแห่งความโกรธแค้นของศัตรู พร้อมกันนี้ โครงสร้างพื้นฐานในเขตเมือง สถานที่สาธารณะ และแม้กระทั่งโรงพยาบาล รวมถึงศูนย์การแพทย์ส าหรับเด็ก ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากการโจมตีอย่างป่ าเถื่อนของระบอบเหยียดเชื้อชาตินี้
การกระท าดังกล่าว เป็นภาพสะท้อนอีกด้านของการก่อการร้ายโดยรัฐ ซึ่งไซออนิสม์ระหว่างประเทศได้ใช้อย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะเครื่องมือเพื่อความอยู่รอดของตนเอง การโจมตีเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านก าลังอยู่ในระหว่างการเจรจาโดยอ้อมกับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับกิจกรรมนิวเคลียร์ที่ด าเนินไปเพื่อวัตถุประสงค์สันติของประเทศ
ภายหลังจากการรุกรานโดยระบอบไซออนิสต์ และการสนับสนุนด้านอาวุธอย่างไม่มีเงื่อนไขจากสหรัฐอเมริกาสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ยื่นค าร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อจัดการประชุมฉุกเฉินโดยมีเป้าหมายให้มีการยุติการละเมิดอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และการรุกรานดินแดนของอิหร่านโดยทันที
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสมาชิกบางประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงออกมาประณามการรุกรานดังกล่าว แต่คณะมนตรีกลับไม่สามารถออกมติหรือด าเนินการใด ๆ เพื่อลงโทษผู้รุกรานได้ สาเหตุส าคัญของความล้มเหลวนี้ เกิดจากความแตกแยกภายในของสมาชิกถาวรและไม่ถาวรของคณะมนตรี ตลอดจนแรงกดดันทางการเมืองจากกลุ่มประเทศตะวันตกบางประเทศที่มุ่งปกป้องระบอบดังกล่าว
ความเฉยเมยและการเพิกเฉยของคณะมนตรีความมั่นคงต่อการรุกรานอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และเป็นเครื่องยืนยันถึงการเสื่อมถอยของหลักนิติธรรมระหว่างประเทศรวมทั้งแนวทางพหุภาคีที่ควรได้รับการธ ารงไว้ภายใต้กรอบของสหประชาชาติ ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อปกป้องสันติภาพของโลกภายใต้สถานการณ์ที่คณะมนตรีความมั่นคงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ได้ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจึงได้เริ่มใช้สิทธิในการป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และตามบทบัญญัติแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรฯ
ประการแรก สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านขอยืนยันถึงสิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเองเพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ บรู ณภาพแห่งดนิ แดน และศกั ดิ์ศรีของพลเมืองของตน ซ่งึ ไดด้ าเนินการตอบโตก้ ารรุกรานท่ีเกิดขึน้อย่างเหมาะสมและหนักแน่น สิทธิในการตอบโต้ดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประเทศที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนด้วยเหตุนี้ เป้าหมายของการตอบโต้จึงได้มุ่งไปยังศูนย์กลางทางทหารของระบอบไซออนิสต์ รวมถึงศูนย์บัญชาการกองบัญชาการทหาร และสถานที่ยุทธศาสตร์ของระบอบดังกล่าว โดยในการด าเนินการเหล่านี้ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ให้ความส าคัญกับการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด การจ ากัดการโจมตีเฉพาะเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการรุกราน และรักษาสัดส่วนความเสียหายตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ
ประการทสี่ อง เลือดของบรรดาผู้พลีชีพจะไม่สูญเปล่า และการตอบสนองต่ออาชญากรรมเหล่านั้นได้ด าเนินไปโดยการโจมตีทางจรวดต่อเป้าหมายของฝ่ายศัตรู ในระยะแรก เป้าหมายของการโจมตีทางทหารได้มุ่งเฉพาะต่อสิ่งอ านวยการทางทหารของระบอบไซออนิสต์อย่างเป็นสัดส่วน อย่างไรก็ตาม เมื่อระบอบดังกล่าวได้ยกระดับการกระท าที่ไร้มนุษยธรรม โดยมุ่งเป้าหมายโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การตอบโต้จึงขยายไปยังโครงสร้างพื้นฐานของระบอบไซออนิสต์ในเมืองเทลอาวีฟและไฮฟา
สื่อของระบอบไซออนิสต์และสื่อกระแสหลักของตะวันตก ได้พยายามบิดเบือนความจริง ด้วยการกล่าวอ้างว่า การโจมตีของระบอบไซออนิสต์นั้นเป็นการกระท าต่อเป้าหมายทางทหารโดยชอบธรรม ในขณะที่กล่าวหาว่าการด าเนินการทางทหารของอิหร่านเป็นการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเป็นการสร้างเรื่องเล่าที่กลับหัวกลับหางโดยสิ้นเชิง ความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ระบอบไซออนิสต์ นอกเหนือจากการโจมตีสิ่งอ านวยการและสถานที่ทางทหารของอิหร่านอย่างผิดกฎหมายและไร้เหตุผลล่วงหน้าแล้ว ยังได้กระท าการอย่างโหดร้ายด้วยการโจมตีพื้นที่อยู่อาศัยของพลเรือน บุคคลส าคัญด้านการทหาร นักวิทยาศาสตร์ของอิหร่าน พร้อมทั้งครอบครัวและประชาชนผบู้ รสิ ทุ ธิ์
ประเทศตะวันตก กลับเลือกใช้สองมาตรฐาน และเผยแพร่เรื่องเล่าที่บิดเบือนความจริง โดยแทนที่จะเผชิญหน้ากับผู้รุกราน กลับหันมากดดันประเทศที่เป็นฝ่ายตกเป็นเหยื่อ การกระท าดังกล่าวไม่ใช่สัญญาณของความแข็งแกร่งของศัตรู แต่เป็นหลักฐานแห่งความอ่อนแอและความล้มเหลวของระบอบนั้นต่างหาก
สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ยังคงยึดมั่นในหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการเคารพในอธิปไตยของประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ของการรุกราน อาชญากรรม และการยึดครอง การนิ่งเฉยไม่ใช่ความเป็นกลาง แต่การไม่ด าเนินการและความเงียบงันในหน้าที่ต่อการรุกรานของศัตรู ย่อมเท่ากับการสนับสนุนผู้รุกรานโดยปริยาย
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ระบอบไซออนิสต์ไม่เพียงแต่ไม่เคยถอนตัวจากการยึดครองดินแดนของชาวปาเลสไตน์ หากแต่ยังได้ขยายขอบเขตการรุกรานของตนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ซีเรีย และเลบานอนอีกด้วยการโจมตีอย่างโหดร้ายและรุกรานต่อแผ่นดิน อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตและโครงสร้างพื้นฐานที่มิใช่ทางทหารถูกท าลาย เป็นหลักฐานที่ชัดเจนของนโยบายก้าวร้าวและรุกรานที่เป็นระบบของระบอบนี้ อิหร่านขอประกาศอย่างหนักแน่นว่า ความมั่นคงฝ่ายเดียวไม่สามารถสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังแห่งความมั่นคงของชาติอื่นได้
เราขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและประชาชนของประเทศเอกราชทั้งหลาย รวมถึงประชาคมระหว่างประเทศ ให้ประณามการรุกรานของระบอบไซออนิสต์อย่างรุนแรง และอย่าได้เพิกเฉยต่อวงจรของความรุนแรงและการรุกรานเช่นนี้ ความรับผิดชอบของประชาคมโลกไม่อาจหยุดอยู่แค่เพียงถ้อยค าประณามเท่านั้น แต่จ าเป็นต้องมีการจัดตั้งกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อหยุดยั้งการรุกราน ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนที่อยู่ภายใต้การยึดครอง และป้องกันไม่ให้วิกฤตลุกลามขยายวงกว้างในภูมิภาค
เราขอแสดงความขอบคุณต่อประเทศต่าง ๆ ที่ได้ประณามการรุกรานของระบอบไซออนิสต์อย่างชัดเจน และขอแสดงความซาบซึ้งในน ้าใจและการสนับสนุนจากพี่น้องชาวมุสลิมทั่วโลกที่มีต่อประชาชนและรัฐบาลของอิหร่านโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน เราขอขอบคุณอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนอย่างไม่ลดละจากประเทศมุสลิมสองประเทศ ได้แก่ มาเลเซียและอินโดนีเซีย
สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ขอยืนยันว่าตามหลักการของการป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ อิหร่านมีสิทธิโดยชอบธรรมในการตอบโต้ต่อภัยคุกคามที่ชัดเจนต่อผลประโยชน์แห่งชาติและความมั่นคงในระดับภูมิภาค อิหร่านไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มต้นสงคราม และมิได้ปรารถนาจะท าสงครามแต่จะไม่อยู่เฉยต่อการคุกคามหรือการรุกรานใด ๆ
สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นอย่างมั่นคงต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ และความจ าเป็นในการธ ารงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ด้วยเหตุนี้อิหร่านขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระท าอันรุกรานและยั่วยุล่าสุดของระบอบไซออนิสต์ ที่มุ่งเป้าโจมตีต่อบูรณภาพแห่งดินแดนและผลประโยชน์แห่งชาติของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน การกระท าที่เป็นปฏิปักษ์เช่นนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยของอิหร่านอย่างชัดเจน และเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม
สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้เคยเตือนมาโดยตลอดว่า นโยบายชอบใช้ความรุนแรงและพฤติกรรมที่บ่อนท าลายเสถียรภาพของระบอบไซออนิสต์ ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามต่ออิหร่านเท่านั้น หากยังเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ อิหร่านแม้ยึดมั่นในหลักการของการเจรจาการมีปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ และการแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี แต่ขอย ้าอย่างชัดเจนว่า หากเกิดการคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ อิหร่านจะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เด็ดขาดและเหมาะสม อิหร่านยังคงเรียกร้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้ด าเนินมาตรการที่เร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกรณีที่มีต่อการรุกรานอย่างต่อเนื่องของระบอบไซออนิสต์ และเพื่อป้องกันไม่ให้การกระท าผิดกฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นซ ้าอีกในอนาคต
อิหร่านยังคงยืนหยัดบนหลักการของการยับยั้งเชิงยุทธศาสตร์ การธ ารงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยในภูมิภาค การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และการสนับสนุนประชาชนที่ตกอยู่ภายใต้ความอยุติธรรมและการยึดครองโดยเฉพาะประชาชนชาวปาเลสไตน์ผู้ถูกกดขี่
ในช่วงท้ายของค าปราศรัยนี้ ข้าพเจ้าขอขอบคุณศูนย์อิสลามแห่งกรุงเทพมหานคร ส าหรับการจัดงานในครั้งนี้ และขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และพี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกท่าน ที่ได้ให้การสนับสนุนและแสดงความห่วงใยต่อประชาชนและรัฐบาลของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ข้าพเจ้าขอปิดท้ายด้วยถ้อยค าแห่งสัจธรรมจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งกล่าวถึงชะตากรรมของผู้รุกรานและชัยชนะของความยุติธรรม ดังที่ปรากฏในอัลกุรอานบทอัลอัมบิยาอ์ (บทที่ 21) โองการที่ 9:
ثم صدقناهم الوعد فانجیناهم و من نشاء و اهلکنا المسرفین
ความว่า:“จากนั้น เราได้ท าให้สัญญาที่มีต่อพวกเขาเป็นจริง เราได้ให้พวกเขาและผู้ที่เราปรารถนาได้รับความปลอดภัย และเราได้ท าลายล้างพวกที่ละเมิดขอบเขตแห่งสัจธรรมทั้งหลาย”โองการนี้แสดงไว้อย่างชัดเจนว่า อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงรักษาค ามั่นของพระองค์ในการช่วยเหลือผู้ศรัทธาให้รอดพ้นจากอันตรายของศัตรูผู้รุกราน และในที่สุด ผู้กระท าการอธรรมและการรุกรานย่อมพบจุดจบแห่งความพินาศวัสสลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮ์